ดัชนีดาวโจนส์ฟิวเจอร์ รวมทั้งดัชนี S&P 500 ฟิวเจอร์ และ Nasdaq ฟิวเจอร์ ต่างร่วงลงในวันนี้ ท่ามกลางความกังวลเกี่ยวกับภาวะฟองสบู่ของหุ้นในธุรกิจปัญญาประดิษฐ์ (AI)
นอกจากนี้ นักลงทุนกังวลต่อการที่สหรัฐกำลังเผชิญภาวะการปิดหน่วยงานรัฐบาล หรือชัตดาวน์ ที่อาจยาวนานที่สุดในประวัติศาสตร์สหรัฐ โดยการชัตดาวน์ได้ย่างเข้าสู่วันที่ 35 ในวันนี้ (4 พ.ย.) ซึ่งเทียบเท่ากับสถิติสูงสุดเดิมที่เกิดขึ้นในช่วงที่ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ดำรงตำแหน่งสมัยแรก รวมทั้งวิตกต่อการที่ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) อาจไม่ปรับลดอัตราดอกเบี้ยในการประชุมเดือนธ.ค.
ณ เวลา 20.14 น.ตามเวลาไทย ดัชนีดาวโจนส์ฟิวเจอร์ลบ 280 จุด หรือ 0.59% สู่ระดับ 47,193 จุด ขณะที่ดัชนี S&P 500 ฟิวเจอร์ และ Nasdaq ฟิวเจอร์ ร่วงลง 0.99% และ 1.34% ตามลำดับ
หุ้นที่เกี่ยวข้องกับ AI ต่างดิ่งลงในการซื้อขายก่อนเปิดตลาดในวันนี้ นำโดยหุ้น Palantir Technologies บริษัทซอฟต์แวร์ด้านการวิเคราะห์ข้อมูลขนาดใหญ่ ซึ่งดิ่งลง 7% ขณะที่นักลงทุนเริ่มกังวลมากขึ้นเกี่ยวกับมูลค่าหุ้นที่แพงเกินจริง
นายจิม รีด นักกลยุทธ์จากธนาคารดอยช์แบงก์ ระบุในรายงานว่า "ผลประกอบการของ Palantir ถือว่าดี แต่ตลาดผิดหวังที่บริษัทไม่ได้เปิดเผยแนวโน้มผลการดำเนินงานสำหรับปี 2569" พร้อมทั้งกล่าวถึงความกังวลเกี่ยวกับมูลค่าหุ้นที่สูงเกินจริง
หุ้นของ Palantir ซึ่งพุ่งขึ้นมากถึง 173% นับตั้งแต่ต้นปีนี้ มีค่า forward P/E มากกว่า 200 เท่า ทำให้นักลงทุนคาดหวังว่าทางบริษัท รวมถึงหุ้นกลุ่ม AI อื่น ๆ จะต้องเพิ่มคาดการณ์กำไรและรายได้จำนวนมาก เพื่อสนับสนุนการลงทุนต่อไป
นอกจากนี้ ค่า current P/E ของ Palantir ใกล้แตะระดับ 700 เท่าก่อนเปิดตลาดในวันนี้
หุ้นของ Oracle ซึ่งมีค่า current P/E อยู่ที่ 60 เท่า และ forward P/E ที่ 35 เท่า ร่วงลง 2% ในการซื้อขายก่อนเปิดตลาด ส่วน AMD ซึ่งมี current P/E อยู่ที่ 149 เท่า ดิ่งลงมากกว่า 2%
นอกจากนี้ หุ้นกลุ่ม AI อื่น ๆ เช่น Nvidia และ Amazon ปรับตัวลงกว่า 1% ก่อนเปิดตลาด
ทั้งนี้ การพุ่งขึ้นของหุ้นกลุ่ม AI ก่อนหน้านี้ ได้ผลักดันให้ค่า forward P/E ของดัชนี S&P 500 พุ่งขึ้นเหนือระดับ 23 เท่า ซึ่งเป็นระดับสูงสุดใกล้เคียงกับช่วงปี 2543
นอกจากนี้ นักลงทุนยังเกิดความวิตกจากคำเตือนของผู้บริหารระดับสูงจาก Goldman Sachs และ Morgan Stanley ซึ่งเป็นสองธนาคารยักษ์ใหญ่ของสหรัฐ
นายเดวิด โซโลมอน ประธานเจ้าหน้าที่บริหารของ Goldman Sachs กล่าวว่า "มีความเป็นไปได้อย่างมากที่ตลาดหุ้นจะปรับฐานลงราว 10-20% ภายในเวลา 12-24 เดือนข้างหน้า"
ส่วนนายเท็ด พิค ประธานเจ้าหน้าที่บริหารของ Morgan Stanley กล่าวว่า "เราควรเตรียมตัวรับมือการปรับฐานราว 10-15% ซึ่งไม่ได้เกิดจากวิกฤตเศรษฐกิจระดับมหภาค"